หมิงเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี แต่อยู่ห้องผีเฮี้ยนค่ะ!

      อันนี้เป็นเรื่องจริงๆนะคะ หมิงเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีค่ะ เคยเห็นสิ่งคล้ายๆผีมาบ้างแต่ก็ไม่เชื่อ จนกระทั่งตอนนี้หมิงก็ยังไม่เชื่อค่ะ ขอเกริ่นให้รู้คร่าวๆก่อนว่า หมิงตอนนี้เป็นนักเรียนหอพักประจำในโรงเรียนค่ะ และอยู่ในห้องที่มีเรื่องเล่าลือว่า มีผีเฮี้ยนที่สุดในห้องนี้ค่ะ



      ตอนแรกที่เข้ามาค่ะหมิงไม่ได้อยู่ห้องผีเฮี้ยนที่ว่านี่มาก่อนนะคะ เพราะห้องนี้เดิมทีเป็นของอาจารย์ท่านนึงค่ะ และเขามักจะบ่นให้นักเรียนฟังว่า นักเรียนทำไมชอบวิ่งเล่นกันตีหนึ่งตีสองคะ มันรบกวนครูนะครูนอนไม่ได้เลยเนื่องจากมันเป็นห้องชั้นหนึ่งค่ะ แต่...รู้อะไรไหมคะว่า ไม่มีใครทั้งนั้นแหละค่ะที่วิ่งตอนตีหนึ่งตีสอง ทีนี้เพื่อนๆก็เริ่มมโนกันไปแล้วค่ะ ว่ามีกุมารทองอยู่แน่ๆ ผีเด็กแน่ๆ หมิงก็เฉยๆค่ะด้วยความที่ไม่ได้เชื่อเรื่องผี



      จากนั้นไม่นานอาจารย์ท่านนั้นก็ได้ออกย้ายโรงเรียนไปเนื่องจากสอบติดราชการค่ะ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับคุณครูมาก เลยทำให้ห้องผีเฮี้ยนห้องนั้นกลายเป็นห้องว่างที่ไม่มีใครแล้วค่ะ ความหลอนมันก็เริ่มได้ทวีคูณขึ้นจนน่าตกใจค่ะ แต่เนื่องด้วยความที่หมิงไม่รับรู้เรื่องอะไร ตามข่าวไม่ค่อยทัน และด้วยความที่ชอบอยู่คนเดียวค่ะ หมิงเลยขออาจารย์อยู่'ห้องผีเฮี้ยน' ซะเลย



      วันแรกที่เพื่อนๆรู้กันก็ถามกันใหญ่เลยค่ะว่าจะไปจริงๆหรอ อย่าลืมวางเหรียญไว้หน้าระเบียงนะ (เหมือนเป็นธรรมเนียมว่าเรามาขอเขาอยู่ค่ะ หมิงก็พึงมารู้ทีหลัง แต่หน้าห้องตอนนั้นมีเหรียญวางเยอะแยะเลยค่ะ) หมิงก็ไม่ได้ทำตามที่เขาบอกนะคะไม่ใช่แบบหลบลู่ แต่ตอนย้ายของมันเยอะมากพอย้ายเสร็จก็หลับเลยค่ะ



      ตอนที่หมิงอยู่ในห้องผีเฮี้ยนนะคะ วันแรกก็ไม่มีอะไรค่ะ วันที่สองก็ไม่มีอะไรค่ะ มีแต่เพื่อนนี่แหละค่ะที่คอยถามอยู่เรื่อยๆว่า เห็นอะไรบ้างไหม ได้ยินอะไรแปลกๆรึป่าว หมิงก็อยู่อย่างนั้นแหละค่ะไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งหมิงก็ได้รูมเมทมาอยู่ร่วมด้วยกันอีกสองคน ตอนแรกก็ไม่มีอะไรนะคะ แต่พอเวลาผ่านไปหมิงได้มีโอกาศได้คุยกับเพื่อน รูมเมท A เรื่องผีค่ะ (มาคุยได้ไงก็ไม่แน่ใจ) เขาก็เล่าเลยค่ะว่าจริงๆแล้ว เขาเป็นคนมีเซนส์ค่ะ แล้วเขาก็บอกกับหมิงอีกด้วยว่า เขาเห็นผีมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ และในห้องนี้ก็มีผีเยอะมากซะด้วย เป็นผีเจ้าที่ค่ะ เพื่อนเขาบอกไว้ว่าอย่างนั้น หมิงตั้งใจและรับฟังเขาค่ะ และก็ไม่แย้งอะไรเพราะคนเราไม่เหมือนกัน แต่ถามว่าเชื่อไหมก็ยังไม่เชื่อค่ะ (เอ้า!)



      ไม่นานค่ะหลังจากนั้นรูมเมท A ก็ได้ย้ายออกไปแต่ก็มีคนเข้ามาแทนที่อีกสองคน เป็นรูมเมท C กับ D รูมเมท D คนนี้เขาก็เป็นคนมีเซนส์ค่ะ ที่บ้านเขาทำงานเกี่ยวร่างทรงอะไรแบบนี้ เราก็อยู่ด้วยกันประมาณเดือนกว่า และรูมเมทที่เป็นร่างทรงก็ย้ายออกไปค่ะ โดยไม่ได้บอกอะไร แต่มีอยู่วันหนึ่งค่ะ อดีตรูฒเมท D ได้มาทักหมิงไว้ตอนกลางดึกค่ะ ว่า "หมิง คืนนี้ปิดประตูหลังก่อนนอนด้วยนะ เดี๋ยวเขาจะเข้ามา" ตอนแรกหมิงก็ไม่ได้ถามรูมเมท D นะคะ ว่าเขาอะไร เขาไหน แต่หมิงก็ทำตามที่เขาว่าแหละค่ะ ปิดประตูไว้ พอวันถัดไปหมิงก็เลยไปตัดสินถาม รูมเมทD ว่า ทำไมต้องปิดประตูหลัง? เขาก็บอกว่ามันเป็นวันปล่อยผีค่ะ วันสารทจีน และเขาก็บอกอีกด้วยค่ะ ว่าห้องนอนของหมิงมีผีอยู่เยอะมากเหมือนที่รูมเมท A บอกเลยค่ะ เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาย้ายห้องออกไป



      พอเริ่มเปิดเรียนปี 2 ค่ะ ก็มีน้องปี 1 ทักถามค่ะว่าพี่อยู่ห้องนี้หรอคะ (วนลูปแล้วหนึ่ง) หมิงก็ถามน้องเขาอีกค่ะว่า ใช่ ทำไมหรอ เห็นผีหรอ น้องก็ตกใจค่ะ พี่รู้ได้ไงคะ คนนั้นก็เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นน้องเขากำลังตากผ้าที่ระเบียงแล้วได้ยินเสียงแปลกๆค่ะ เลยมองไปที่ระเบียงแถวๆห้องของหมิงก็เจอของดีเข้าให้ค่ะ เป็นผีกำลังที่อยู่ระเบียงแล้วมองเข้ามาที่ห้องของหมิงค่ะ ฟังแล้วเชื่อไหม ก็ไม่เชื่อค่ะ แต่กลัว(เอ้า) จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีเรื่องความเฮี้ยนของผีมาให้ฟังเรื่อยๆเลยค่ะ แต่ถามว่าเชื่อไหม ไม่ค่ะ และไม่เคยเห็นด้วยค่ะ เป็นความบันเทิงที่แปลกดีค่ะ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อยากจะเล่าในวันนี้ค่ะ ขอบคุณค่ะ!




ของแถม รูประเบียงตอนกลางคืนใช้ฟิลเตอร์ขาวดำเพิ่มความหลอนค่ะ









ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการ์ณแอบเลี้ยงแมวในหอพักนักเรียน

การทัศนศึกษาของเด็ก GenZ ในช่วงโควิด